วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2567

ขับรถแล้วถูกชนแต่จำคู่กรณีไม่ได้

          
อุบัติเหตุรถชนกับการประกันภัยเป็นของคู่กัน เพราะการประกันภัยผู้ที่ทำประกันไว้ก็ย่อมมุ่งหวังที่จะให้บริษัทรับประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้เมื่อยามที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่บางครั้งการจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่อาจไม่ได้ง่าย ๆ ตรงไปตรงมา แต่มีข้อที่ต้องระวังและคำนึงถึงโดยเฉพาะเงื่อนไขตามกรมธรรม์ ซึ่งในตอนนี้คงมาคุยกันกับปัญหากรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วแต่เราจำรถยนต์คู่กรณีไม่ได้จะมีผลอย่างไรกับสิทธิได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัย
         นายเก้งขับรถยนต์ไปเที่ยวพัทยากับครอบครัว ระหว่างที่รถกำลังแล่นผ่านสี่แยกแห่งหนึ่งใกล้กับพัทยา รถยนต์อีกคันได้วิ่งฝ่าไฟสัญญาณจราจรสีแดงมาจากอีกทางหนึ่ง รถยนต์คันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของนายเก้งที่บังเอิญเห็นว่ามีรถออกมาจากอีกทาง แม้นายเก้งจะพยายามหักหัวรถหนีแล้วแต่ก็ไม่ทัน รถยนต์ของนายเก้งเสียหลักไปชนกับเสาไฟฟ้าข้างทาง เมื่อนายเก้งตั้งสติได้ก็รีบหันไปดูบุตรของตนที่นั่งอยู่ที่เบาะหลัง โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายร้ายแรง แต่เมื่อนายเก้งมองหารถยนต์ที่มาชนรถตน ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวอาศัยจังหวะที่นายเก้งกำลังตกอกตกใจ ขับรถหนีไปแล้ว นายเก้งเห็นจากระยะทางไกลเพียงรู้ว่าเป็นรถยนต์สีดำยี่ห้อหนึ่ง แต่ระยะทางไกลเกินกว่าจะเห็นทะเบียนรถยนต์คันนั้นได้ 
          ก่อนเกิดเหตุ นายเก้งได้ทำประกันภัยรถยนต์ใน “แบบคุ้มครองเฉพาะภัย” ไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง แต่เมื่อเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยกลับไม่ยอมจ่ายให้โดยอ้างว่านายเก้งจำคู่กรณีไม่ได้จึงเข้าข้อยกเว้นที่บริษัทประกันภัยไม่ต้องรับผิด
         คนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจว่าเมื่อทำประกันภัยไว้แล้วและเกิดอุบัติเหตุขึ้น ตนเองย่อมจะต้องมีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย เพราะการที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปก็เพื่อหวังจะได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นดังเช่นกรณีของนายเก้งนี้ แต่เบี้ยประกันและขอบเขตความคุ้มครองนั้นมักมีความสัมพันธ์กัน หากความคุ้มครองมากเบี้ยประกันภัยย่อมสูงตามไป หากความคุ้มครองจำกัดลงเบี้ยประกันภัยก็อาจดูเหมือนถูกลง แต่ที่ถูกลงเป็นเพราะผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองที่น้อยลงตามไปด้วย
          กรณีของนายเก้งนี้ หากสังเกตดูจะเห็นว่าเป็นการประกันภัย “แบบคุ้มครองเฉพาะภัย” จึงสื่อความหมายในตัวว่าไม่ได้คุ้มครองภัยทุกประเภท เช่น อุบัติเหตุที่จะคุ้มครองจะจำกัดเฉพาะกรณี “ชนกับยานพาหนะทางบก” เท่านั้น หากนายเก้งขับรถไปแล้วเกิดมีเครื่องบินแบบที่เป็น “โดรน” พุ่งมาชนก็อาจจะกลายเป็นภัยที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองตามกรมธรรม์ไปแล้ว เพราะสิ่งที่มาชนไม่ใช่ “ยานพาหนะทางบก” 
         แต่ปัญหาของนายเก้งในกรณีนี้อยู่ที่เงื่อนไขตามกรมธรรม์ส่วนที่ระบุว่าบริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ต่อเมื่อ “ผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้...”สาเหตุสำคัญที่มีการกำหนดเงื่อนไขลักษณะนี้คงเป็นเพราะการที่บริษัทประกันภัยจะได้ไปไล่เบี้ยเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายไปคืนจากคู่กรณีได้หากคู่กรณีนั้นเป็นฝ่ายผิดและก่อให้เกิดอุบัติเหตุนั้นขึ้น ถ้าหากไม่รู้ว่าคู่กรณีเป็นใครก็ทำให้ไม่สามารถไปไล่เบี้ยเอาได้โดยสภาพ 
          ในเรื่องของการแจ้งให้ทราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายได้นี้ คู่มือการตีความกรมธรรม์ตามที่กำหนดโดยเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยซึ่งเป็นนายทะเบียนกำหนดไว้ว่าอาจเป็นการระบุตัวผู้ขับขี่รถยนต์คู่กรณีโดยตรงเลยก็ได้ เช่น เมื่อชนกันแล้วจอดรถลงมาพูดคุยและมีการขอดูใบอนุญาติขับขี่รถหรือบัตรประจำตัวประชาชนและถ่ายภาพไว้ หรือหากไม่รู้ตัวผู้ขับขี่ก็จะต้องสามารถระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์คู่กรณีให้บริษัทประกันภัยทราบได้ ซึ่งจะใช้ได้กับกรณีที่เมื่อเกิดเหตุแล้วไม่มีการมาพูดคุยกันแต่อาจขับหนีไปเลย
           บังเอิญโดยเป็นคราเคราะห์ของนายเก้งที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น นายเก้งตกใจกับเหตุที่เกิดขึ้นและด้วยความเป็นห่วงครอบครัวที่อยู่ในรถจึงไม่ทันได้รีบมองรถยนต์คู่กรณี จนรถยนต์คันดังกล่าวหนีไปไกลเกินกว่าจะเห็นเลขทะเบียนแล้ว แม้จะจำสีและยี่ห้อรถได้แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะรถยนต์ยี่ห้อนั้นที่มีสีเดียวกันอาจมีมากจนเกินกว่าระบุได้ว่าเป็นรถคันใดกันแน่ จึงทำให้เข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ที่บริษัทประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้
          ในการหวังความคุ้มครองจากกรมธรรม์ เราอาจต้องศึกษาดูเงื่อนไขตามกรมธรรม์ที่อุตส่าห์เสียเงินเสียทองจ่ายค่าเบี้ยประกันไปด้วยว่าให้ความคุ้มครองกรณีใดบ้าง และมีเงื่อนไขอย่างไรที่ต้องทำเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามที่ต้องการอย่างเช่นกรณีการทำประกันภัยแบบคุ้มครองเฉพาะภัยนี้เมื่อเกิดเหตุต้องรีบจดจำคู่กรณีให้ได้ แม้ไม่รู้ชื่อ อย่างน้อยก็ต้องจำเลขทะเบียนรถยนต์คู่กรณีไว้ให้ดีแล้วเราจะได้รับความคุ้มครองสมกับที่หวังไว้

                                                                                                                 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5238/2561)

ไม่มีความคิดเห็น: